แหล่งท่องเที่ยว

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสุรินทร์ ประวัติศาสตร์โบราณคดี สุรินทร์


พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสุรินทร์ ตั้งอยู่ที่ถนนสุรินทร์-ปราสาท หมู่ที่ 13 ตำบลเฉนียง มีการจัดแสดงเป็น 4 ส่วน คือ อาคารที่ 1 เป็นโถงทางเข้าและทางเดิน อาคารที่ 2 เป็นส่วนการศึกษา ประกอบด้วย ห้องประชุม ห้องกิจกรรม ห้องรับรอง ห้องสมุด อาคารที่ 3 เป็นอาคารจัดแสดงและสำนักงาน ประกอบด้วย ห้องนิทรรศการถาวร ห้องนิทรรศการชั่วคราว ห้องทำงานเจ้าหน้าที่ อาคารที่ 4 เป็นคลังพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วย ห้องคลังโบราณวัตถุ ห้องปฏิบัติการอนุรักษ์และสงวนรักษา
เนื้อหาการจัดแสดงในห้องนิทรรศการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กรมศิลปากรได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นช่วยค้นคว้าและรวบรวม โดยการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 5 เรื่อง คือ ธรรมชาติวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร์เมือง ชาติพันธุ์วิทยา และมรดกดีเด่นประจำจังหวัด โดยจัดแสดงในอาคารที่ 3 ดังนี้
ชั้นล่าง จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาในด้านต่างๆ ประวัติศาสตร์โบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์เมืองตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน และมรดกดีเด่นในเรื่องการเลี้ยงช้าง
ชั้นบน จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของชาวไทยเชื้อสายเขมร ชาวไทยเชื้อสายลาว ชาวไทยเชื้อสายกูย และชาวไทยโคราช ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ และมรดกดีเด่นในงานหัตถกรรมและศิลปะการแสดงพื้นบ้านในด้านต่างๆ
1. ธรรมชาติวิทยา ในส่วนนี้จัดแสดงเรื่องกายภาพของจังหวัดสุรินทร์ เนื้อหาประกอบด้วย สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะทางธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดแสดงเรื่องข้าวและการทำนาด้วย เนื่องจากพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์เป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีแห่งหนึ่ง โดยใช้เทคนิคการจัดแสดงที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้ชมมีความเข้าใจเนื้อหา และเกิดความเพลิดเพลินในการเข้าชม
2. ประวัติศาสตร์โบราณคดี มีเนื้อหาเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้คน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบหลักฐานในจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,000 - 1,500 ปีมาแล้ว สมัยวัฒนธรรมทวารวดีซึ่งเริ่มประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 สมัยวัฒนธรรมขอมมีอายุประมาณตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 - 18 จนถึงสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง-อยุธยาในพุทธศตวรรษที่ 24 ในการจัดแสดง จะจำลองสภาพชีวิตและพิธีกรรมการฝังศพครั้งที่สองในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุสมัยทวารวดี ขอม และอยุธยา-ล้านช้าง ที่พบในจังหวัดสุรินทร์ หุ่นจำลองโบราณสถานประกอบการฉายวีดีทัศน์ เพื่อให้ผู้ชมได้เกิดความเข้าใจในการศึกษาทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะที่พบในจังหวัดสุรินทร์
3. ประวัติศาสตร์เมือง เนื้อหาในส่วนนี้นำเสนอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุรินทร์ โดยเริ่มจากชาวกูยช่วยจับช้างเผือกที่หลุดมาจากกรุงศรีอยุธยา และได้รับความดีความชอบตั้งเป็นบ้านเมือง การปฏิรูปการปกครองมาเป็นระบบเทศาภิบาลและระบอบประชาธิปไตย ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชากร และการศึกษา ในการจัดแสดง จะจำลองเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ เช่น การจับช้างเผือก การเดินรถไฟมาถึงจังหวัดสุรินทร์ สภาพตลาดการค้าในยุคแรกๆ สภาพการศึกษาในอดีต โดยจำลองลงในตู้จัดแสดง ให้ผู้ชมสามารถซึมซับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ในอดีตมาจนเป็นจังหวัดสุรินทร์ปัจจุบัน
4. ชาติพันธุ์วิทยา เนื้อหาจะกล่าวถึงประชากรในจังหวัดสุรินทร์ ที่ประกอบด้วยชน 4 กลุ่มใหญ่ คือ ชาวกูย กลุ่มชนที่มีความสามารถในการจับและฝึกช้าง ชาวเขมร กลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุรินทร์มานานแล้ว ชาวลาว กลุ่มชนที่อพยพเข้ามาอยู่หลังสุด และชาวไทยโคราช เป็นชนที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่แถบจังหวัดนครราชสีมา ในการจัดแสดง จะจำลองให้เห็นวิถีชีวิตของคนกลุ่มต่างๆ โดยการจำลองบ้านเรือน หุ่นจำลองการประกอบพิธีกรรมของชาวไทยกูย ไทยเขมร ภาพถ่ายและภาพวาดเกี่ยวกับขนบประเพณีและสภาพความเป็นอยู่ของชาวไทยลาวและชาวไทยโคราช ซึ่งจะสื่อถึงสภาพวิถีชีวิต ลักษณะเด่นทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชนที่ประกอบกันเป็นคนสุรินทร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องบรรจุอยู่ใน Computer Touchscreen ให้ศึกษาค้นคว้าได้โดยละเอียด
5. มรดกดีเด่น เนื้อหาจะกล่าวถึงมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดสุรินทร์ที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป คือ งานศิลปหัตถกรรม ได้แก่ การทำเครื่องประดับเงินและการทอผ้าไหม ศิลปการแสดงพื้นบ้าน ได้แก่ การแสดงเรือมต่างๆ การละเล่นเจรียงแบบต่างๆ รวมถึงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงกันตรึม และการเลี้ยงช้าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในส่วนการจัดแสดง จะใช้หุ่นจำลอง ภาพถ่าย และวีดีทัศน์ เป็นสื่อให้เห็นถึงการผลิตและใช้ประโยชน์จากงานหัตถกรรม หุ่นจำลองและวีดีทัศน์เรื่องการจัดแสดงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ฉากจำลองบรรยากาศหมู่บ้านเลี้ยงช้าง และวีดีทัศน์ ให้ผู้เข้าชมได้ทราบถึงมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นสุรินทร์ที่มีมาในอดีตและยังคงรับใช้ชุมชนอยู่ในปัจจุบัน โบราณวัตถุที่จัดแสดง จัดแสดงตัวอย่างพันธุ์พืชและสัตว์ เครื่องมือ เครื่องใช้สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประติมากรรมและชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมเขมร อาวุธโบราณ เครื่องประดับเงิน ผ้าไหม ฯลฯ
พิพิธภัณฑ์นี้เปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. เว้นวันจันทร์-อังคาร และวันนักขัตฤกษ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 4451 3358 หรือ  www.thailandmuseum.com
ที่มา. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

งานหัตถกรรมฝีมือประณีตของจังหวัด


จังหวัดสุรินทร์เป็นเมืองหนึ่งของอีสานใต้นอกเหนือจากบุรีรัมย์และศรีสะเกษ ซึ่งมีกลุ่มคนที่มีเชื้อสายมาจากขอมส่วย หรือกวย และลาวบ้างเล็กน้อย จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนภาษาพูดเป็นของตนเอง โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรมของที่ระลึกประเภทผ้าไหม ผ้าฝ้ายที่มีลวดลายสีสันเฉพาะตัว เครื่องเงิน หรือปะเกือม เครื่องจักสาน ไม่นับสินค้าพื้นเมือง เช่น ข้าวหอมมะลิ หัวผักกาด กุนเชียง หมูยอ ฯลฯ แต่ในคราวนี้อยากจะแนะนำผ้าไหม ผ้าทอพื้นเมืองที่สวยเด่น และเครื่องประดับที่ทำจากปะเกือมให้ได้รู้จักกัน
บ้านเขวาสินรินทร์ (อ่านว่า เขวา-สิ-นะ-ริน) อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางสุรินทร์-จอมพระ เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานในเรื่องศิลปหัตถกรรมอันโดดเด่นของชาวสุรินทร์ เพราะชาวหมู่บ้านนี้มีฝีมือในการทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย ที่เป็นลวดลายของชาวอีสานใต้ ทั้งลวดลายและวิธีการทอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นไม่เหมือนใคร สีที่ใช้ในการย้อมผ้าได้จากธรรมชาติ เช่น ต้นครั่ง เข คราม มะหูด เป็นต้น นอกจากจะให้สีสันที่สวยงามติดทนนาน ไม่ฉูดฉาด ไม่ซีดง่ายแล้ว ยังมีกลิ่นหอมจากเปลือกไม้ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ย้อมสีอีกด้วย
ผ้าไหมพื้นบ้านที่น่าสนใจโดยเฉพาะผ้าโฮลนั้น เป็นผ้าเก่าแก่ดั้งเดิมของเมืองสุรินทร์ ลวดลายเป็นทางยาว สีของผ้าเหมือนสีของเม็ดมะขาม ใช้สำหรับนุ่งในงานพิธีต่าง ๆ ผ้าไหมยกดอก คือผ้าที่มีการทอเพิ่มลวดลายเข้าไปในเนื้อผ้า ด้านหนึ่งมีลายที่คมชัดและเรียบ ส่วนอีกด้านมีลายหยาบเนื้อผ้าจะแลดูหนาและหนัก ผ้าไหมลายโครงสร้าง บ้างก็เรียกลายตาราง นิยมทอไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ้าจกลายปะเต๊าะ ลักษณะของผ้าทอจกดอกห่าง ๆ กระจายทั่วทั้งผืน ผ้าไหมพื้นเรียบ คือผ้าทอที่ไม่มีลวดลาย มีสีเดียวกันตลอดทั้งผืน และผ้าไหมหางกระรอก เป็นผ้าสีพื้น มีความมันระยิบระยับนิยมนุ่งในชีวิตประจำวัน
ส่วนการทำปะเกือม (เงินเม็ดกลม ๆ คล้ายกับลูกประคำ) ของดีอีกอย่างหนึ่งก็คือเครื่องเงินพื้นบ้านนั่นเอง โดยนำเม็ดเงินที่มีเนื้อเงินประมาณ 92.5 เปอร์เซนต์ ที่ซื้อมาจากร้านทอง หลอมให้เป็นแผ่นแล้วตีเป็นชิ้นงานก่อนจากนั้นจึงแกะสลักลวดลายต่าง ๆ เพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ เข็มขัด ต่างหู ฯลฯ ลวดลายที่ใช้แกะสลัก ได้แก่ ลายกลีบบัว ลายดอกพิกุล ลายดอกจัน ลายข้าวหลามตัด ลายไทย และลายร่างแห ซึ่งเป็นลวดลายแบบดั้งเดิมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษและได้รับอิทธิพลมาจากเขมรต่ำ นอกจากนี้ยังมีลวดลายอื่น ๆ อีก เช่น ลายใบไม้ ลายฟักทอง ลายพระอาทิตย์ ฯลฯ ที่นำแบบมาจากธรรมชาติ แต่ประยุกต์ให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอยและความต้องการของลูกค้า ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดี เนื่องจากสนนราคาของปะเกือมเมื่อเทียบกับเครื่องเงินในภูมิภาคอื่นแล้วราคาย่อมเยากว่า
เลยจากตลาดที่เป็นศูนย์จำหน่ายหัตถกรรมไปเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องทอผ้า ได้แก่ หมู่บ้านทอผ้าไหมของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านสามโค ตำบลปราสาททอง กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ หมู่บ้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทอผ้าไหมพื้นเมืองซึ่งเป็นผ้าโบราณที่มีการทอสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วอายุคนเช่นกัน มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้าซึ่งเป็นผ้าเนื้อแน่นมีคุณค่า โดนเส้นไหมที่นำมาทอจะสาวมาจากเส้นใยภายในรังไหม มีลักษณะเป็นไหมเส้นเล็ก นุ่ม เรียบ และเงางาม ใส่แล้วเย็นสบาย ไม่ร้อน เรียกว่าไหมน้อย (ภาษาเขมรเรียกโซคซัก)
ผู้ใหญ่บ้านประนอม ขาวงาม ประธานกลุ่มสตรีกิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์และเป็นประธานกลุ่มทอผ้าบ้านสามโคเล่าให้ฟังว่า อาชีพหลักของชาวเมืองสุรินทร์คือการทำนา เมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยวทุกคนก็จะประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป โดยบ้านไหนที่เลี้ยงช้างก็จะนำช้างไปรับจ้างด้วย ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน กลุ่มแม่บ้านสามโคจึงรวมตัวกันเพื่อทอผ้าไหมเป็นอาชีพเสริมหลังฤดูเก็บเกี่ยว โดยวางจำหน่ายที่ศูนย์ศิลปหัตถกรรมผ้าไหมของหมู่บ้าน และจะมีร้านในตัวเมืองมาเลือกซื้อไปจำหน่ายอีกทอด ซึ่งเดิมทีชาวบ้านก็ทอผ้าไว้ใช้สอยกันเฉพาะในครัวเรือนอยู่แล้ว ปัจจุบันมีโรงเลี้ยงไหมอยู่ในบริเวณหมู่บ้านจำนวนทั้งสิ้น 11 โรง
นอกจากแหล่งผลิตหัตถกรรมที่มีชื่ออย่างบ้านเขวาสินรินทร์และบ้านสามโคแล้ว ยังมีแหล่งผลิตงานหัตกรรมที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่นที่บ้านสวาย ตำบลสวาย อำเภอเมืองฯ บ้านอู่โลก ตำบลอู่โลก อำเภอลำดวน บ้านเทนมีย์ ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองฯ บ้านจันรม ตำบลตาอ็อง อำเภอเมืองฯ 
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบผ้าไหม สินค้าไทย ๆ ที่มีการทอสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน หรือหากท่านใดโปรดปรานเครื่องเงินที่เป็นงานหัตถกรรมฝีมือเยี่ยมจากภูมิปัญญาของช่างฝีมือไทยลวดลายโบราณที่คุงคุณค่าแก่การอนุรักษ์ ก็สามารถจับจ่ายได้ที่ศูนย์ศิลปหัตถกรรม ตำบลปราสาททอง กิ่งอำเภอเขวาสินรินทร์ โทรศัพท์ (04450-2234 หรือเลือกจับจ่ายได้ที่ร้านภายในอำเภอเมืองฯ เช่น ร้านไหมไทย 5 ดาว ตั้งอยู่ที่ถนนธนสาร โทรศัพท์ (04451-1775 มีสินค้าให้เลือกหลายอย่าง เช่น ผ้าไหม เครื่องเงิน ของฝากพื้นเมือง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายผ้าไหมและเครื่องเงินที่ถนนจิตรบำรุง ได้แก่ ร้านไหมสุรินทร์ โทรศัพท์ (04451-3897 ร้านน้องหญิง โทรศัพท์ (04451-1616 ร้านคุณหงา โทรศัพท์ (04451-3433 และร้านสุรินทร์ไหมไทย โทรศัพท์ (04451-2159
  

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โบราณสถาน





โบราณสถานจังหวัดสุรินทร์






ปราสาทจอมพระ


     ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ในบริเวณวัดปราสาทจอมพระ มีลักษณะเป็นอโรคยาศาล มีโครงสร้างที่สมบูรณ์มาก อาคารต่าง ๆ ก่อด้วยศิลาแดงและใช้หินทรายประกอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน คือ ปรางค์ประธาน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขหน้าบรรณาลัยหรืออาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงล้อมรอบพร้อมซุ้มประตูรูปกากบาท และสระน้ำนอกกำแพง มีลักษณะตรงกับศิลปะขอมแบบบายน (ราว พ.ศ. 1720-1780) 

ปราสาทยายเหงา

     ตั้งอยู่ที่อำเภอสังขะ ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมถนนสายโชคชัย-เดชอุดม ปราสาทแห่งนี้เป็นศาสนสถานแบบขอม ที่ประกอบด้วยปรางค์ 2 องค์ ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐเป็นลวดลายรูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองอย่างงดงาม
ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนตู๊จ ปราสาทตาเมือนธม

     ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากบ้านตาเมียง กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ประมาณ 12 กิโลเมตร ติดเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเป็นปราสาทหิน 3 หลัง ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน สันนิษฐานว่าก่อสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 16

ปราสาทบ้านช่างปี่

     ตั้งอยู่ที่บ้านช่างปี่ ตำบลช่างปี่ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะเป็นอโรคยาศาล ประกอบด้วยปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลง และหินทรายมุขด้านตะวันตกมีบรรณาลัย มีกำแพงทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กกรุด้วยศิลาแดง
ปราสาทบ้านไพล

ปราสาทบ้านไพล

     ตั้งอยู่ที่บ้านไพล ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาท 3 องค์เรียงแถว ขนาดฐานกว้าง 4 เมตร ยาว 4 เมตร สูงประมาณ 6.5 เมตร ก่อด้วยอิฐขัด ปรางค์ทิศใต้พังทลายกรอบและทับหลังทำด้วยหินทราย

ปราสาทตระเปียงเตีย

     ตั้งอยู่ที่บ้านหนองเกาะ ตำบลตระเปียงเตีย อำเภอลำดวน ลักษณะปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยมมียอดปราสาท 4 ยอด เป็นรูปบัวตูม ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐ ลักษณะการก่อสร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบลาว สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

ปราสาทศีขรภูมิ (ปราสาทระแงง)

     

     ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ สร้างในสมัยบาปวน เมื่อประมาณ พ.ศ. 1650 ลักษณะเป็นปรางค์ ก่อด้วยอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ฐานก่อด้วยศิลาแลง ปรางค์องค์กลางสูงประมาณ 32 เมตร มีลวดลายสลักหินตามเสาทวารา และมีทับหลังสวยงามมาก

ปราสาทบ้านพลวง

     ปราสาทบ้านพลวง ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง ตำบลกังแอน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ห่างจากที่ว่าการอำเภอปราสาท 4 กิโลเมตร ตามถนนสายสุรินทร์-ช่องจอม เป็นปรางค์องค์เดียวตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง สร้างด้วยศิลาและหินทรายเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม สลักลวดลายบนทับหลัง เป็นลักษณะศิลปะแบบบาปวนสร้างระหว่าง พ.ศ. 2550-1650

ปราสาทเมืองที

     ตั้งอยู่ที่บ้านเมืองที ตำบลเมืองที อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทแบบเขมร มีลักษณะคล้ายปราสาทศีขรภูมิ คือ มีปรางค์ 5 องคื แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3 องค์ ปรางค์ทั้ง 3 องค์ตั้งอยุ่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส องค์กลางมีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บนฐานปรางค์บริวารมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ปราสาทภูมิโปน


     ตั้งอยู่ที่บ้านภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ เป็นปราสาทขอม สันนิษฐานว่าสร้างในระหว่าง พ.ศ. 1185-1250 ลักษณะเป็นปรางค์รูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐไม่สอปูน จำนวน 3 หลัง และศิลาแลง 1 หลัง ฐานก่อด้วยศิลาแลง ย่อมุมไม้สิบสอง แบบคุปตะรุ่นหลังของอินเดีย นับว่าเป็นปราสาทที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

ศิลปะวัฒนธรรม


เรือนอันเร
   
      เรือนอันเร แปลว่า รำสาก สมัยก่อนเรียกว่า ลูตอันเร เล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งเรียกว่า “วันต็อม” อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือ สาก ซึ่งชาวสุรินทร์เรียกว่า “อันเร” เป็นสากไม้แก่นกลม นิยมทำด้วยไม้มะค่าหรือไม้แดง ยาวประมาณ 5-6 ศอก ส่วนไม้หมอนยาวประมาณ 2-3 ศอก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 นิ้ว

เรือนอายัย
    
     เป็นการละเล่นพื้นเมืองของจังหวัดสุรินทร์ ที่รับแบบมาจากประเทศกัมพูชา แต่เรือมอายัยของจังหวัดสุรินทร์ เป็นการละเล่นโต้กลอนระหว่างหนุ่มสาว ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องเกี้ยวพาราสีกัน ส่วนของกัมพูชาเป็นการถามตอบกัน

เจรียงซันตูจ
     
      เจรียง ซันตูจ แปลว่า ร้องตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่าง ๆ ส่วนใหญ่จัดในลานวัด หนุ่ม ๆ ที่มาร่วมงานจะรวมกันเป็นกลุ่ม และหาคันเบ็ดมา 1 อัน เหยื่อที่ใช้มักเป็นขนม ข้าวต้ม ผลไม้ ผูกเป็นพวง โดยไปหย่อนในกลุ่มที่มีหญิงสาว นั่งรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ หนุ่ม ๆ จะร้องรำเพลง แล้วหย่อนคันเบ็ด ลงตรงหน้าสาวที่ตนเองชอบ หากสาวรับเหยื่อแสดงว่าหลงรัก

กันตรึม
     
         กันตรึมหรือโจ๊ะกันตรึม เป็นดนตรีของกลุ่มวัฒนธรรมเขมร ทำนองเนื้อเพลง และเครื่องดนตรีเฉพาะ ภาษาที่ใช้ร้องคือภาษาเขมร ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำนองกันตรึมมีหลากหลาย ทั้งอ้อยอิ่ง และสนุกสนาน ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้ทั้งภาษาไทย ลาวในการ้องทำนองกันตรึม

กโนปติงตอง
     
         กโนปติงตอง เป็นการละเล่นที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อ30 กว่าปีที่ผ่านมา โดยนายเหือนตรงศูนย์ดี ชาวบ้านโพธิ์กอง ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้คิดท่ารำ โดยเลือนแบบตั๊กแตนที่ไปพบเห็น จึงกลับมาคิดประดิษฐ์ท่ารำประเพณีวันสารท (วันโดนตา)


     เมื่อถึงวันสารทแรม 14 ค่ำ เดือน 10 ชาวสุรินทร์ถือเป็นวันสารทใหญ่ และมีความเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมลูกหลาน และจะทำการเซ่นไหว้วิญญาณของบรรพบุรา ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการจัดข้าวปลาอาหาร ทั้งคาวหวาน ไหว้เซ่น ชาวสุรินทร์เรียกว่า พิธีเซ่น หรือ แซนโดนตา

ประเพณีจังหวัด


 1. งานบุญประเพณีขึ้นพนมสวาย


จังหวัดสุรินทร์ดินแดนแห่งอารยธรรม หลากหลายวัฒนธรรม งานบุญประเพณี “เลิงพนม” หรือที่รู้จักกันทั่วไป "งานบุญประเพณีขึ้นเขาสวาย" เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานเป็นประจำทุกวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ (ปี ๒๕๕๑ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน)


นายพูนศักดิ์ ประณุทนรพาล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายธงชัย มุ่งเจริญพร นายกอบจ.สุรินทร์ ร่วมกับ นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายประยุทธ์ เขียวหวาน ฯลฯได้ร่วมกันจัดงานบุญประเพณีส่งเสริม “การท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา” ที่พนมสวาย ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาร่วม สวดมนต์ ภาวนา ทำศีลสมาธิ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนพนมสวาย เพื่อความเป็นสิริมงคลเสริมพลังชีวิต
ปี ๒๕๕๑ ถือเป็นปีเริ่มต้นที่สำคัญของชาวสุรินทร์ โดยนายพูนศักดิ์ ประณุทนรพาล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้เชิญชวนชาวสุรินทร์ร่วมกันบริจาคระฆังในนามของวัดต่างๆทั่วจังหวัดสุรินทร์มากถึง ๑,๐๗๐ วัดจัดสร้างระฆัง ๑,๐๗๐ ใบ และเพื่อเป็นศิริมงคลถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองปีมหามงคลเฉลิมพระชนม์ครบ ๘๐ พรรษา คณะผู้จัดสร้างระฆัง ได้กราบขอระฆังจากท่านเจ้าอาวาสวัดสำคัญๆ เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระเชตุพนฯ วัดระฆังโฆษิตาราม ฯลฯ จนได้ครบ ๑,๐๘๐ ใบ นำมาประดิษฐ์ฐานเรียงรายไว้ที่บันไดทางขึ้นเขาสวาย เพื่อเป็นหนึ่งในกิจกรรมของนักแสวงบุญที่แวะเวียนมา “พนมสวาย” อุทยานธรรมแห่งนี้
สำหรับปีนี้ ได้จัดงานเพิ่มขึ้นอีก ๑ วัน เพื่อเป็นการสมโภชใหญ่ นิมนต์พระเกจิอาจารย์จาก ๑,๐๗๐ วัด ทั่วจังหวัดสุรินทร์ มาสวดมนต์สมโภชระฆัง ในวันเสาร์ที่ ๕ เมษายนตั้งแต่เช้า รวมทั้งจัดพิธีปลุกเสกพระยอดธงที่จัดสร้างขึ้นเพื่อนำรายได้จากการเช่ามาใช้ในการบูรณะอุทยานพนมสวาย

เขตอุทยานพนมสวาย



เขตอุทยานพนมสวาย ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์   พนมสวาย เป็นภูเขาที่โผล่ขึ้นมาโดดๆบนที่ราบทำนาของจังหวัดสุรินทร์ ห่างจากเทือกเขาพนมดองเร็กประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ห่างจากเขาพนมรุ้งประมาณ ๕๐ กิโลเมตร และอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๒ กิโลเมตร
คำ “พนมสวาย” เป็นภาษาท้องถิ่นเขมร "พนม" แปลว่า"ภูเขา" ส่วน "สวาย" แปลว่า "มะม่วง"
“พนมสวาย” เป็นภูเขาไม่สูงประกอบด้วยเขา ๓ ยอด ได้แก่

ยอดที่ ๑ "พนมกรอล" หรือเขาคอก เป็นที่ตั้งศาลาอัฏฐมุข ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองและเป็นที่ตั้งสถูปเจดีย์ บรรจุอัฐิหลวงปู่ดุล อตุโล และศาลเจ้าแม่กวนอิม ในอดีตบนภูเขานี้จะมีศิลาแลงวางเรียงกันเป็นชั้นๆ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม สูงประมาณ ๑ เมตร ลักษณะคล้ายคอก จึงเรียกกันว่า "เขาคอก" ปัจจุบันร่องรอยของศิลาแลงดังกล่าวยังคงอยู่

     

ยอดที่ ๒ เรียกว่า"พนมเปร๊าะ" หมายถึงเขาผู้ชาย สูง ๒๑๐ เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคลและปราสาทหินเขาพนมสวาย พร้อมบาราย ๓ ลูก(สระน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแบบขอม มีศิลาแลงตัดเป็นก้อนๆรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียงรายตั้งแต่ก้นสระถึงส่วนบนขอบสระเพื่อป้องกันดินพัง โดยทั่วไปตามสถาปัตยกรรมขอม จะมี ๔ บาราย ซึ่งเปรียบได้กับมหาสมุทรทั้ง๔ ) และเจดีย์ศิลาแลงโบราณ จำนวน ๑ องค์

   

ยอดที่ ๓ เรียกว่า "พนมสรัย" หมายถึงเขาผู้หญิงสูง ๒๒๘ เมตร เป็นที่ตั้งวัดพนมศิลาราม มีตำนานเรื่องเล่าในอดีตสืบทอดกันมาเชื่อว่ามีถ้ำมหาสมบัติ สระน้ำโบราณ และเป็นที่อยู่ของเต่าศักดิ์สิทธิ์ ๒ ตัว ซึ่งต่อมาอพยพหนีภัยลงจากเขา แต่ไปได้ถึงเพียงไหล่เขาก็ต้องกลายเป็นหิน เชื่อว่าหากใครลบหลู่หรือปีนป่ายบนเต่าหินศักดิ์สิทธิ์นี้จะเกิดภัยพิบัติแก่ตนเองและครอบครัว

  


2. วัฒนธรรมประเพณี”เลิงพนม” (ขึ้นเขาสวาย)

”เลิงพนม” ประเพณีความเชื่อที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรษของชาวเขมรสุรินทร์ พวกเขามีศรัทธาต่อประเพณีนี้อย่างแรงกล้า เมื่อถึงกำหนดทุกวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของขอมคนเขมรสุรินทร์ ทุกคนจะหยุดงานทุกอย่างเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อการแสวงบุญขึ้น“พนมสวาย” ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัวและบ้านเมือง คนหนุ่มสาวก็จะมีโอกาสได้พบปะสนุกสนานรู้จักกัน หลายรายที่พัฒนาเป็นความรักถึงขั้นแต่งงานครองรักครองเรือนไป และยังเชื่อกันว่าหากใครไม่หยุดงาน จะถึงกับมีอันเป็นไป เช่นถูกฟ้าผ่าตายฯลฯ
        นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเสริมศิริมงคลแก่ชีวิต ได้แก่ พระพุทธสุรินทรมงคล(เป็นปางประทานพร  ภปร.) รอยพระพุทธบาทจำลอง พระพถทธรูปบนเขาหญิง พระพุทธรูปองค์ดำ อัฐิหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่สาม ปราสาทหินพนมสวาย ศาลเจ้าแม่กวนอิม เต่าหินศักดิ์สิทธิ์ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์

เรื่องเล่าตำนาน

ตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสวายมีมากมาย เช่นตำนานเกี่ยวกับ “ก้อนหินใหญ่เคลื่อนที่ได้”  ก้อนหินลอยน้ำได้ บ่อเงิน บ่อขมิ้น เดิมที่นี่จะมีขันน้ำ เงิน และขันทอง วางไว้สำหรับสำหรับผู้แวะเวียนผ่านมาได้ใช้ตักน้ำมาดื่มกิน ตามตำนานยังบอกเล่าถึงบ่อน้ำแห่งนี้ว่า ขณะที่ควานช้างนำช้างผ่านมาบนเขา ท่ามกลางฤดูกาลที่แห้งแล้งมาก หาน้ำดื่มกินไม่ได้ ช้างได้อาศัยววงของมันเสาะหาน้ำ เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่งบนเขา ช้างได้หยุดแล้วใช้เท้าเขี่ยก้อนหินนั้นออกไป ปรากฏว่าใต้แผ่นหินนั้นได้ว่ามีบ่อเล็กๆกว้างประมาณ ๖ นิ้ว มีความลึกสุดประมาณ ที่น่าแปลกแม้ในปัจจุบันบ่อน้ำแห่งนี้ก็ยังไม่พบว่าระดับน้ำได้ลดลงแต่อย่างไร ตำนานเกี่ยวกับ”พนมสวาย”ยังมีอีกมากมายwww.visitsurin.comจะติดตามนำมาเสนอต่อไป
การเดินทาง

เริ่มต้นจากศาลากลางจังหวัดประมาณ ๒๒ กม. ถนนลาดยางสายสุรินทร์-ปราสาท (ทางหลวงหมายเลข ๒๑๔) ระยะทาง ๑๔ กม. และมีทางแยกขวาเข้าไปอีก ๖ กม. อยู่ในท้องที่ ต.นาบัว อ.เมือง จังหวัดสุรินทร์ 
อีกเส้นทางหนึ่ง ออกจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางถนนเส้น สุรินทร์-บุรีรัมย์ ประมาณ ๕ กิโลเมตร(บ้านตะเคียน) เลี้ยวซ้าย ผ่านบ้านตะแสง ทะนง เข้าบ้านสวาย ตำบลสวาย ถึงเขาสวาย ระยะทางประมาณ ๒๕กิโลเมตร (มีป้ายบอกทางตลาดเส้นทาง-ถนนลาดยาง)
นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์  โทรศัพท์  0-4451-1975    
ททท.สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต ๑  โทร.0-4421-3666, 0-4421-3030 
ทุกวันในเวลาราชการ










3. ประเพณีบวชนาคช้าง ชาวกวย 


*** ขบวนช้างสุรินทร์ ***

bulletจังหวัดสุรินทร์ เป็นเมืองที่ได้รับขนานนามว่า "เมืองช้าง" มานานกว่า ๓ ทศวรรษแล้ว เนื่องจากการที่ได้ริเริ่มจัดการแสดงของช้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๓ และก็ได้จัดสืบทอดเป็นประเพณีมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในแต่ละปีนั้น ก็จะมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาชมกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจของสุรินทร์เติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานอีกเมืองหนึ่ง
นอกจากการแสดงของช้างที่ลือลั่นไปทั่วโลกแล้ว สุรินทร์ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นเมืองที่มีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่รวมกันถึง ๓ กลุ่มด้วยกันคือ กวย (กูยหรือส่วย เขมร และลาว ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีขนบประเพณีที่แตกต่างกันออกไป และก็เป็นที่น่าสนใจและน่าอนุรักษ์ไว้สำหรับอนุชนรุ่นหลัง

สตรีชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ
สตรีชาวกูย (อำเภอศีขรภูมิ)
ชาวเขมร อำเภอศีขรภูมิ
สตรีและเด็กชาวเขมร (อำเภอศีขรภูมิ)
สตรีชาวลาว อำเภอศีขรภูมิ
สตรีชาวลาว (อำเภอศีขรภูมิ)


ระเพณีงานบวชประจำปีที่หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูมจังหวัดสุรินทร์ ก็เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับจังหวัดสุรินทร์หรือประเทศไทยเท่านั้น แต่สมควรที่จะอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกเลยก็ว่าได้


bulletหมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง เป็นหมู่บ้านของชาวกูยที่เลี้ยงช้าง ซึ่งช้างจากหมู่บ้านช้างแห่งนี้นี่แหละที่ไปแสดงงานช้างของจังหวัดเป็นประจำทุกปี
ชาวกูยบ้านแห่งตากลางดำเนินวิถีชีวิตด้วยการเลี้ยงช้างตามรอยบรรพบุรุษมานานนับศตวรรษ และที่แห่งนี้ก็เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงช้างที่สุด กล่าวคือ อยู่บริเวณที่ราบลุ่มที่มีแม่น้ำมูลและแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกัน กอปรกับยังมีสภาพป่าหลังเหลืออยู่บ้าง ซึ่งนับวันก็ถูกทำลายลงทุกที อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องนำช้างออกไปเร่ร่อนตามเมืองใหญ่ๆ




view.jpg (4593 bytes)
ทิวทัศน์ยามเย็นท้ายหมู่บ้านตากลาง
eat.jpg (9789 bytes)
อาหารที่เริ่มหร่อยหรอลงทุกวัน

ช่วงวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ชาวหมู่บ้านตากลางและหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีบุตรชายอายุครบบวช ต่างพร้อมใจกันกันจัดงานบวชขึ้น โดยแต่ละบ้านที่จัดงานบวชก็จะมีการบายศรีสู่ขวัญนาค และจัดงานเลี้ยงคล้ายๆ กับงานบวชโดยทั่วๆ ไป...














 งานช้างจังหวัดสุรินทร์


 ประวัติ / ความเป็นมา 
ในสมัยโบราณในแถบพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ มีช้างอาศัยอยู่มากมาย ขณะเดียวกันจังหวัดสุรินทร์ก็มีชาว พื้นเมืองที่มีความชำนาญในการจับช้างป่ามาฝึกหัดทำงาน เรียกว่า พวก "ส่วย" ชาวส่วยเป็นชาวพื้นเมืองที่ กล่าวกันว่า เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ได้อพยพมาจากเมืองอัตขันแสนแป ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ ใกล้กับเมืองจำปาศักดิ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบันชาวพื้นเมืองเหล่านี้เป็น เผ่าที่ชอบเลี้ยงช้าง เป็นผู้ริเริ่มในการจับช้างป่ามาฝึกเพื่อใช้งานและเป็นพาหนะเดินทางขนส่งในท้องถิ่น การไปจับช้างในป่าลึกโดยใช้ช้างต่อ เรียกว่า "โพนช้าง" ที่หมู่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ชาวส่วยได้เข้าไปอยู่บนเนิน เขตรอยต่อระหว่างดงสายทอและดงรูดินใกล้ๆ กับบริเวณที่ลำ น้ำชี้ (ชีน้อย) เป็นลำน้ำที่แบ่งเขตระหว่างจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์และลำน้ำมูลไหลมาบรรจบกัน โดยสภาพพื้นที่ดังกล่าวในอดีตได้ตัดขาดจากโลกภายนอกเกือบสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้การผสมกลมกลืนกับ วัฒนธรรมอื่นจึงมีน้อย ชาวส่วยเกือบทั้งหมดในเขตพื้นที่นี้ ยังมีการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถี ชีวิตแบบดั้งเดิมของตนเองอยู่ โดยเฉพาะการเลี้ยงช้างเป็นอาชีพหลักที่สำคัญที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในสมัยโบราณ ซึ่งไม่อาจสืบค้นได้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด โดยชาวส่วยเหล่านี้จะพากันออกไปจับช้างในเขต ประเทศกัมพูชามาฝึกให้สามารถใช้งานได้แล้วขายให้ กับพ่อค้าจากภาคเหนือของประเทศไทยเพื่อนำไป ลากไม้ในป่า จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2502 ได้เกิดพิพาทระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา การเดินทางไปจับ ช้างจึงยุติลง และในที่สุดก็ได้ยุติลงอย่างสิ้นเชิงในราวปี พ.ศ.2506 ในขณะเดียวกันชาวบ้านบางส่วนได้ หันมาฝึกช้างจากการเป็นสัตว์ใช้งานมาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเช่นเดียวกับ แมวและสุนัข ฝึกสอนให้แสดง กิริยาต่างๆ เลียนแบบคน เพื่อจะ้นำไปแสดงในที่ต่างๆ แทนการขายไปทั้งตัวจนกระทั่งทางจังหวัดสุรินทร์ และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อในขณะนั้น) ได้มองเห็นความสำคัญที่จะส่งเสริม การแสดงของช้างเป็นงานประจำปี ของจังหวัดสุรินทร์และประเทศไทยขึ้น โดยจัดเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา แต่ก่อนที่จะมีงานช้างซึ่งถือเป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งได้จัดติดต่อกัน มาเกือบ 40 กว่าปีล่วงมาแล้ว นายท้าว ศาลางาม หมอช้างระดับครู ขาใหญ่แห่งหมู่บ้านกระเบื้องใหญ่ อำเภอ ชุมพลบุรี ได้เล่าถึงความเป็นมาของงานช้างว่า..

ปี พ.ศ.2498 นั้นมีข่าวลือว่าจะมีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาลงที่หมู่บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้างในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ชาวบ้านนานๆ จะได้เห็นยวดยานพาหนะประเภทรถยนต์ และเครื่องบินผ่านไปในเขตพื้นที่อัน เป็นที่อยู่อาศัยของตน จึงแตกตื่นไปทั่วตำบล มีการชักชวนกันไปดูเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์และเนื่องจาก ชาวบ้านในตำบลกระโพ เกือบทุกหมู่บ้านมีอาชีพสำคัญคือการเลี้ยงและออกจับช้างป่ามาฝึกขาย จึงมีช้าง เกือบทุกครัวเรือน โดยเป็นทั้งพาหนะและสินทรัพย์ที่สำคัญของชาวบ้านแถบนั้นการเดินทางไปดูเฮลิคอป เตอร์ในครั้งนั้นจึงใช้ช้างเป็นพาหนะ เมื่อไปถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์แล้วปรากฏว่ามีช้างจำนวนมากมาย รวมกันแล้วนับได้ประมาณ 300 เชือก สร้างความตื่นเต้นประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก กระทั่ง ในปี พ.ศ.2503 นายวินัย สุวรรณกาศ นายอำเภอท่าตูม สมัยนั้นได้ให้นำช้างเหล่านี้มารวมตัวกันอีกครั้ง หนึ่งเพื่อร่วมแสดงในงานฉลองที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ณ บริเวณสนามบินเก่าท่าตูม คือ บริเวณโรงเรียน ท่าตูมประชาเสริมวิทย์ในปัจจุบัน การแสดงนั้นได้จัดขึ้นในวันที่ 19 พ.ย. 2503 มีการเดินขบวนพาเหรด ของช้าง การแสดงการคล้องช้าง การแข่งขันช้างวิ่งเร็วมีช้างเข้าร่วมในการแสดงประมาณ 60 เชือก จาก การแสดงทำให้มีการประชาสัมพันธ์แพร่ภาพทั้งทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วทำให้เกิด ความสนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชื่อเดิมของ ททท.) จึงเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย ว่าการแสดงของช้างที่จังหวัดสุรินทร์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากของจังหวัดและประชาชนทั่วไป ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่มีโอกาสหาชมได้น้อย จึงเห็นสมควรที่จะเผยแพร่งานแสดงของช้างไป สู่วงกว้าง โดยเสนอให้งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีของจังหวัดและให้มีการจัดขึ้นเป็นประจำ ทุกปี โดยการกำหนดวันให้แน่นอนตามปฏิทินทางสุริยคติและจัดรูปแบบงานให้มีความรัดกุมมากขึ้นเพื่อ จะได้มีเวลาในการโฆษณาเชิญชวนไปยังต่างประเทศ อันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของ ประเทศให้แพร่หลายไปด้วย

ดังนั้น วันที่ 18 พ.ย. 2504 จังหวัดสุรินทร์จึงได้ร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัด งานแสดงของช้างขึ้นเป็นงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์อีกครั้งหนึ่งโดยยังคงจัดที่อำเภอท่าตูม ซึ่งอยู่ห่าง จากจังหวัดสุรินทร์ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 52 กิโลเมตร จากผลการจัดงานแสดงของช้างดังกล่าวได้รับ ความสนใจจากชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงได้ รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ให้พิจารณางานเสดงของช้างเป็นงานประจำปีของชาติ และคณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2505 เป็นต้นมา งานแสดงของช้างจังหวัดสุรินทร์กลายเป็นงาน ประจำปีของชาติ และเป็นงานประเพณีที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์จนกระทั่งปัจจุบัน

 กำหนดงาน
กำหนดให้มีขึ้นในวันเสาร์ – อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี สามารถตรวจสอบราย ละเอียดได้ที่  www.tat.or.th/festival

 กิจกรรม / พิธี

           การแสดงของช้างมีด้วยกันทั้งหมด 8 ฉาก อาทิเช่น ชุดโขลงช้าง พิธีเซ่นผีปะกำ การโพนช้าง และการฝึก ช้างป่า ช้างทำงาน และการเล่นของช้าง ประเพณีวัฒนธรรมของส่วยหรือชนชาวกุย ขบวนช้างแห่นาค ช้าง แข่งขันกีฬา ช้างเตะตะกร้อ ช้างชกมวย การประกวดช้างสวยงามและการแสดงของช้างอื่นๆ อีกมากมาย  นอกจากการแสดงของช้างแล้วยังมีการจัดนิทรรศการ การประกวดผลผลิตทางการเกษตร การประกวด ของดีเมืองสุรินทร์ การออกสลากกาชาด การออกร้านงานช้างแฟร์ ทำให้ผู้ร่วมงานครั้งนี้สนุกสนานกัน ถ้วนหน้า

            การแสดงของช้างเริ่มด้วยฉากแรกชื่อว่า "จ่าโขลง" แสดงให้เห็นถึงชีวิตของช้างป่าตามธรรมชาติซึ่งอยู่ รวมกัน การแสดงครั้งนี้ก็จะปล่อยช้างออกมาบริเวณสนามแสดงช้างหลายสิบเชือก โดยไม่มีควาญช้าง บังคับ เพื่อให้สมจริงสมจังกับการเป็นช้างป่า เมื่อมีช้างป่าชาวบ้านก็มีความต้องการที่จะจับช้างมาเลี้ยงไว้ ใช้งาน แต่การจับช้างของชาวบ้านไม่ใช่อยู่ๆ ก็จับมาเลย ต้องมีการทำพิธีกันเสียก่อน ฉากต่อมาจึงมีชื่อ ชุดว่า "กวย" ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านต้องทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ผีปะกำ ก่อนออกไปคล้องช้างตาม ความเชื่อที่ว่า ช้างแต่ละเชือกมีผีปะกำดูแลอยู่ ดังนั้นหน้าบ้านของคนเลี้ยงช้างทุกบ้านจะมีศาลปะกำเพื่อ ไว้เป็นที่เก็บเชือกกำปะกำและเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเซ่นไหว้  โดยแสดงให้เห็นถึง การประกอบพิธีอย่างโบราณ ด้วยการให้หมอเฒ่า หรือปะกำหลวงมาแสดงให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ผู้ชมกับผู้แสดงอยู่ห่างกันมาก ทำให้ไม่เห็นรายละเอียดบางอย่างอย่างใกล้ชิด เช่น การ สวด สีหน้า ท่าทางของผู้ประกอบพิธี

            เมื่อเสร็จพิธี ชาวบ้านก็จะไปคล้องช้างกันการเข้าไปคล้องช้างในป่าจะกินเวลานานถึง 2-3 เดือน ฉะนั้นผู้ที่ คล้องช้างจึงต้องเป็นผู้ชายและผู้ที่คล้องช้างได้ก็จะเป็นที่ยอมรับนับถือในความเป็นชายเป็นเกียรติแก่วงศ์ ตระกูล เป็นที่หมายปองแก่บรรดาสาวๆ และที่สำคัญช้างเชือกหนึ่งมีราคาไม่ใช่น้อย ดังนั้น การคล้องช้า้ง ถือเป็นการยกฐานะของคนที่คล้องช้างได้ไปในตัวด้วยฉากต่อมาชื่อชุดว่า "จากป่าสู่บ้าน" เป็นการแสดง ให้เห็นถึงวิธีการคล้องช้าง ผู้ชำนาญจะคล้องช้างที่เป็นแม่ลูกอ่อน เพราะถ้าหากคล้องลูกช้างได้ก็เหมือน กับได้ตัวแม่ด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าแม่ช้างจะห่วงลูกน้อยทำให้ไม่ยอมไปไหน การแสดงฉากนี้คนก็ลุ้น อยากให้คนคล้องช้างได้หลายคนก็ลุ้นให้ช้างหลุดรอดไปได้ ซึ่งคนดูจะตื่นเต้นสนุกสนาน การแสดงฉาก นี้ดูเหมือนว่าจะคล้องช้างไม่ได้เสียมากกว่า เพราะช้างที่แสดงเป็นช้างบ้านที่ฉลาด ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว จึงรู้วิธีหลบหลีกเป็นอย่างดี คนที่ลุ้นให้ช้างรอดก็โล่งใจกันเป็นแถว " สร้างบ้าน แปงเมือง " เป็นการแสดง ในฉากต่อมาโดยนำช้างออกมาแสดงความสามารถทั้งการใช้งาน เช่น การลากซุง การแสดงตามคำสั่ง ต่างๆ ซึ่งก็น่ารัก น่าเอ็นดู เพราะช้างตัวใหญ่อุ้ยอ้ายการที่จะต้องมาแสดงท่าทางเลียนแบบคน ไม่ใช่เรื่อง ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกช้างไต่ราว การให้ช้างนั่งบนถังในท่านั่งเหมือนคนหรือเดินสองขาเหมือนคน

              ในขณะที่การแสดงของช้างดำเนินอยู่ ก็จะมีเด็กๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายแต่งกายชุดพื้นบ้านมาแสดงการละเล่น ของเด็กในสมัยก่อนที่มักจะหาของเล่นจากวัสดุ ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเดินกะลา ล้อไม้ ม้าก้านกล้วย เดินโทงเทง ซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบัน แต่ที่น่าชมและชอบใจของคนดูทั้งสนามก็คงเป็นช้างชกมวย ไม่ใช่ ช้างชกกับช้าง แต่เป็นช้างกับคน โดยเขาจะใส่นวมที่งวงช้างเพื่อให้ชกแทนการใช้มืออย่างคน การชกเป็น ไปอย่างดุเดือดเพราะแต่ละหมัด(งวง) ของช้างหนักหน่วงจนทำให้คนต้องลงไปนอนให้กรรมการนับหลาย ครั้งและก็ปรากฏว่าช้างชนะน็อคไปตามระเบียบ ดัวยหมัดฮุคอย่างรุนแรง เป็นที่สนุกสนานเฮฮาของคนดู
หลังจากการแสดงอันแสนรู้ของช้างผ่านไปแล้ว ก็เป็นการแสดงคนในชื่อชุดว่า "ประเพณี" เป็นการแสดง ให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณีของชาวสุรินทร์ คือ การแสดงเรืออันเร และการแห่บั้งไฟ  
การแสดงเรืออันเร ประกอบด้วยดนตรีพื้นบ้าน คือ กันตรึม การรำคล้ายกับการรำลาวกระทบไม้
การแห่บั้งไฟ เป็นประเพณีของชาวอีสานที่แห่บูชาพญาแถนเพื่อขอฝน ขบวนแห่ในวันนั้นมีการจัดไว้อย่าง สวยงาม มีผู้ร่วมขบวนนับร้อย ทุกคนล้วนแต่งกายสีสันสดใสด้วยผ้าพื้นเมือง ฝีมือการทอของชาวบ้านเอง
             การบวชนาค เป็นอีกฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของช้าง เพราะคหบดีในสมัยก่อนนิยมใช้ช้าง ร่วมแห่นำในขบวนแห่นาค และการแห่นาคที่จังหวัดสุรินทร์จะต่างจากที่อื่นตรงที่นิยมให้มีการรำมวยไทย นำหน้าขบวนแห่นาค และมีวงมโหรีอยู่บนหลังช้าง ปิดขบวนด้วยระนาด ฆ้อง ปี่ และตะโพน เมื่อบวชนาค แล้วต้องมีการฉลองพระใหม่ ก็ได้มีการแสดงชื่อชุดว่า " ฉลองพระ " ซึ่งสมัยก่อนการฉลองพระเป็นการ แข่งขันและเล่นเกมของคน แต่ต่อมาใช้ช้างเล่นแทน ซึ่งก็ให้ความสนุกสนานไม่แพ้คนเล่นเองการแข่งขัน ของช้างมีหลายเกม คือ ช้างวิ่งแข่ง ช้างเตะฟุตบอล ช้างเก็บของ สิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เห็นว่า  ช้างเชือก ไหนฉลาดและเชื่อฟังคำสั่งของควาญช้าง โดยเฉพาะเขาวางน้ำอัดลม แตงโม กระติ๊บข้าว กล้วย ช้างบาง เชือกก็เก็บของเหล่านี้ให้ควาญช้างทั้งหมด แต่ก็มีบางเชือกเก็บเข้าปากตัวเองเพราะของที่เก็บไม่ว่าจะเป็น กล้วยหรือแตงโม ล้วนแต่เป็นของโปรดของช้างทั้งนั้น ซึ่งก็สร้างความครื้นเครงให้กับคนดูพอสมควรใน ความเจ้าเล่ห์ของช้างบางเชือกที่สนุกสนานที่สุดเห็นจะเป็นตอนช้างเตะฟุตบอลซึ่งแบ่งช้างออกเป็น 2 ทีม มีฟุตบอลขนาดใหญ่ เหมาะสมกับตัวของช้างมาเตะกันจริงๆ เกมการแข่งขันจะดูวุ่นวาย เพราะช้างบางตัว ขี้โกงใช้งวงอุ้มลูกฟุตบอล แทนที่จะเตะฟุตบอล สร้างความขบขันให้กับคนดูเป็นอย่างมาก และการแสดง ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาก็มาถึง ในฉากที่ชื่อว่า "บารมีปกเกล้า" ฉากนี้แสดงให้เห็นถึงขบวนพยุหยาตราทัพ อันเป็นแสนยานุภาพพระมหากษัตริย์ที่ทรงปกป้องบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขในอดีต ซึ่งมีช้างเป็นกำลัง สำคัญในการแสดงแสนยานุภาพนั้น ฉากนี้นับเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยผู้แสดงนับพัน การแต่ง กายก็สมจริง ทำให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมเป็นอย่างยิ่ง


 งานช้างและกาชาดสุรินทร์ ประจำปี 2551 ครั้งที่ 48

วันที่ 18 -27 พฤศจิกายน 2551
ณ สนามกีฬาศรีณรงค์ และสนามแสดงช้างสุรินทร์

 กิจกรรม

วันที่ 18 -27 พฤศจิกายน 2551 
จัดให้มีนิทรรศการ  การออกร้านของส่วนราชการ  การจำหน่ายสินค้า OTOP การแสดงดนตรี  ออกร้าน กาชาด ณ สนามกีฬาศรีณรงค์

วันเสาร์ที่ 22 และอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.2551 เวลา 08.30 - 11.30 น. ณ สนามแสดงช้างสุรินทร์ งานแสดง ช้างสุรินทร์ 
 บัตรราคา  800.- บาท รวมอาหารว่างและเครื่องดื่ม  มุมมองดีที่สุด
 บัตรราคา  500.- บาท มุมมองดี ไม่มีอาหารว่าง/เครื่องดื่ม
 บัตรราคา  300.- บาท และ 40 บาท  ขายบัตรเท่าจำนวนความจุของที่นั่ง

 หมายเหตุ บัตรราคา 800 และ 500 บาท สามารถซื้อล่วงหน้าได้โดยการโอนเงินเข้าบัญชีงานช้างและ กาชาดสุรินทร์ บ/ช เลขที่ 310 0 42667 3 บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาสุรินทร์และดาวโหลดแบบฟอร์ม จาก www.surin.go.th  กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน fax.ไปที่ 0 4451 2039 หรือ 0 4452 1361

ส่วนบัตรราคาอื่นๆ ซื้อได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรบริเวณทางเข้างานวันต่อวัน

งานช้างและกาชาดสุรินทร์ งานช้างและกาชาดสุรินทร์ งานช้างและกาชาดสุรินทร์

กำหนดการแต่ละวันดูได้จาก
http://www.gov.surinpoc.com/surinnew/elephant_51/index.htm

 สอบถามรายละเอียด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ 0 4454 8152